ผ่านไปแล้ว 1,000 เกม สำหรับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดกุนซือ ผู้เป็น ”อมตะ” ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และวงการลูกหนังโลก มีกุนซือน้อยคนนักที่จะสามารถทำได้ แบบ เฟอร์กี้ เกียรติยศมากมายที่เขาไขว่คว้ามาครอบครองได้สำเร็จ มันไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ และกลับกันมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเช่นกันสำหรับเขา
ขอเพียงแค่มีความ ตั้งใจจริง ขยัน และ อดทน เพียงเท่านี้มันก็ช่วยให้ไปสู่ความสำเร็จได้แล้วแหละ เฟอร์กี้ มาคุมผีแดง ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเลยซะเมื่อไหร่ล่ะ 3 ปี แรกของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความกดดัน การทำงานของเขาไม่ต่างอะไรกับการเอามีดมาจ่อไว้ที่คอ การทำงานที่พร้อมจะเชือดเขาได้ทุกเมื่อ แต่ก็ต้องขอบคุณ มาร์ติน เอ็ดเวิร์ด อดีตประธานสโมสร ปีศาจแดงด้วย ที่ไม่รีบร้อนปลดเขาลงจากตำแหน่งเสียก่อน มิเช่นนั้นก็คงไม่มีทุกวันนี้
แชมป์เอฟเอ คัพ คือแชมป์แรกของเขาและจากนั้นเขาก็ค่อยๆ สร้างทีมมาเรื่อย จนถึงฤดูกาล 1992/1993 การมาของ เอริค คันโตน่า ศูนย์หน้าจากคู่ปรับตลอดกาลอย่าง “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด ซึ่งคันโตน่า ก็ไม่ต่างอะไรกับ “จิ๊กซอว์” ชิ้นสุดท้าย ที่เฟอร์กี้ ถวิลหามานาน และอีกอย่าง เฟอร์กี้ อาจจะไม่ได้คันโตน่า มาร่วมทีมด้วยถ้าหากตอนนั้น ผีแดงได้ตัว “อลัน เชียเรอร์” มาร่วมทีมซะก่อน แต่เมื่อเจ้า “ฮอตชอต” ปฏิเสธความต้องการของนายใหญ่แห่ง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เฟอร์กี้ และทีมงานจึงหันไปคว้าตัว “ก็องโต้“ มาแทน
จริงอยู่ที่คันโตน่า สามารถสร้างความสำเร็จให้ทีมได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่หากว่าทีมได้ตัว เชียเรอร์ มา การที่ เชียเรอร์ ยังยืนระยะได้ยาวถึงทุกวันนี้ บางทีเขาอาจจะทำให้ทีมประสบความสำเร็จกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ แต่ในเมื่อสิ่งนั้นมันไม่เกิด คันโตน่า ก็ได้เป็น “ศาสดา” แห่ง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด จนถึงทุกวันนี้ และ “ตลอดกาล” นั่นแหละ
เฟอร์กี้ เต็มไปด้วยความสามารถที่จะเรียกขวัญกำลังใจของนักเตะ นอกจากนี้เขายังเก่งในเรื่องการปั้นนักเตะอีกด้วย ผู้เล่นไม่รู้กี่รุ่นที่เป็นเด็กสร้างเฟอร์กี้ สามารถนำความสำเร็จมาสู่ทีม และหลังจากหมดยุคของฝูงลูกนกหัดบินแห่งยุค 92 สาบานได้ .. ยังไงก็ต้องมีเด็กชุดใหม่ขึ้นมาอีกนั่นแหละ อย่าห่วงเลย…
หลังจบเกมกับ โอลิมปิก ลียง ด้วยชัยชนะ 2 ประตูต่อ 1 กับการทำประตู ใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในวงเล็บว่า(อีกแล้ว) ของ พี่ม้า รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่โขกประตูชัยให้ทีม นั่นก็แสดงให้เห็นว่าทีมเริ่มกลับมาอยู่ในสภาพที่ “ลงตัว” อีกครั้งแล้ว และการกลับมาเล่นได้อย่าง “มั่นใจ” หลังจากหวดประตูแรก ในฤดูกาลได้ของ พอล สโคลส์ สามารถเพิ่มความมั่นใจให้กับ “ไอ้หัวเหลือง” ได้มากๆ และมันก็ย่อมที่จะเป็นผลดีกับทีม เพราะ สโคลส์ จะเป็นส่วนสำคัญมากกับทีม เพราะเขาคือตัว “เชื่อมเกม” ระหว่างแดนกลางกับ “แดนหน้า”
อย่างไรก็ตามถึงวันใดที่ สโคลส์ เล่นไม่ดี เวนย์ รูนี่ย์ ยังสามารถที่จะมาเล่นแทนตำแหน่งของเขาได้อย่างสบาย ผมว่างั้นนะ เพราะว่ารูนี่ย์ ไม่ใช่ศูนย์หน้าประเภทโป้งปิดบัญชี อย่างพี่แก้วหน้าม้าแห่งสำนัก โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แต่เขาเหมาะสมที่จะเล่นในบทบาท “หน้าต่ำ” เหมือนอย่างในยุคของคู่หัวหอกนิลกาฬ อย่าง ยอร์ค และ โคล ที่มียอร์คเล่นเป็นหน้าต่ำ โดยที่จะคอยเปิดป้อนบอลไปให้กับโคล เช่นกันหากรูนี่ย์ “เรียนรู้” และมีประสบการณ์มากกว่านี้ การที่เราอาจจะได้คู่หัวหอกที่ดีที่สุดที่ทีมเคยมีมานั้น ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันอีกต่อไป ยอร์ค – โคล ในยุคสุดยอดของทีม บางทีอาจจะสู้ รุด – รูน ไม่ได้ก็เป็นได้นะ
ด่านต่อไปของทีมในพรีเมียร์ชิพก็คือ “เดอะ แบ๊กกี้ส์” เวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน ภายใต้การคุมทีมของอดีต “กัปตันกระดูกเหล็ก” อย่าง ไบรอัน ร็อบสัน ที่นัดที่ผ่านมาเพิ่งนำทีมเสมอกับ ปืนใหญ่ อาร์เซน่อล ไป 1 ประตูต่อ 1 ไม่ใช่งานง่ายแน่ของพลพรรคปีศาจแดง ของ เฟอร์กี้ ที่ต้องบุกไปเยือน “เดอะ ฮอว์ทรอน” เพราะเวสต์ บรอม เริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาหลังจากที่เก็บแต้ม จากอาร์เซนอล มาได้
เกมนัดนี้จะเป็นเกมที่ 1001 ของเฟอร์กี้ อาจจะเรียกว่าเป็นการ เริ่มต้นใหม่ของเฟอร์กี้ หรือเริ่มนับหนึ่งใหม่ก็ได้ ตามแต่จะคิด แต่ยังไงก็ตามเส้นทางบนถนนสายลูกหนังของ ป๋าก็ยังคงมีอีกยาวไกลแน่ๆ ผมเชื่ออย่างนั้น …
ซาอุดรฯ

2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC